ATELIER DES LUMIERES

เมื่อศิลปะของวินเซนต์แวนโก๊ะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

นิทรรศการศิลปะ Atelier des Lumieres, Van Gogh, ปารีส

ดิจิทัลอาร์ตเซ็นเตอร์ (The Digital Art Centre) ที่ตั้งอยู่ที่ใจกลางกรุงปารีส เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 2018 ภายใต้ชื่อว่า "Atelier des Lumières" โดย Culturespaces ที่ซึ่งเป็นสมาคมจัดงานทางวัฒนธรรมภาคเอกชน สถานที่ที่ดิจิทัลอาร์ตเซ็นเตอร์ตั้งอยู่นั้น เดิมทีถูกค้นพบขึ้นเมื่อปี 1835 โดยสองพี่น้องตระกูล Plichon โดยมี Jacques François Alexandre และ Hilaire Pierre เป็นผู้ก่อตั้งโรงหล่อ Chemin-Vert ในปีเดียวกัน ในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนเหล็กคุณภาพสูง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ธุรกิจของสองพี่น้อง Plichon นั้นก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากมาเป็นเวลาเกือบร้อยปี จนกระทั่งปี 1929 ได้เกิดเหตุการณ์วิกฤติการเงินไปทั่วโลก ทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวลงไปโดยปริยาย โดยที่ดินและอาคารแห่งนี้ถูกขายต่อให้แก่ตระกูล Martin ไป

หลายทศรรษหลังจากนั้น Bruno Monnier ประธานสมาคม Culturespaces ได้มาพบเข้ากับสถานที่แห่งนี้ในปี 2013 และเกิดไอเดียเกี่ยวกับการเปิดดิจิทัลอาร์ตเซ็นเตอน์ขึ้นที่กรุงปารีส หลังจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการเปิดดิจิทัลอาร์ตเซ็นเตอร์ Carrières de Lumières Art Centre ที่เมือง Les Baux-de-Provence ตระกูล Martin ผู้เป็นเจ้าของที่ดินและอาคารแห่งนี้ในปัจจุบัน เห็นด้วยกับไอเดียของ Monnier และได้ตกลงที่จะให้เช่าห้องโถงใหญ่และตัวอาคารเสริมรอบๆในปี 2014 เป็นต้นมา 4 ปีต่อมา หลังจากการรีโนเวทสถานที่ครั้งใหญ่บนพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร ดิจิทัลอาร์ตเซ็นเตอร์ Atelier des Lumières ก็ได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก เปิดให้สาธารณะชนได้เข้าไปรับชมและสัมผัสประสบการณ์ศิลปะแนวใหม่ภายใต้นิทรรศการ 3 นิทรรศการด้วยกัน นั่นก็คือ Gustav Klimt, Hundertwasser และ POETIC_AI 

ในปี 2019 นี้ ดิจิทัลอาร์ตเซ็นเตอร์ได้กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้หัวข้อ "Van Gogh, Starry Night" เพื่อนำเสนอการใช้ชีวิตอย่างยากลำบากของศิลปินชื่อดังอย่างวินเซนต์ แวนโก๊ะ (Vincent Van Gogh) และการต่อสู้ของเขาที่ไม่ได้รับการยอมรับในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่ รวมไปถึงการนำเสนอเหล่าผลงานศิลปะที่โด่งดังของเขาด้วย 

 

ภาพ The Starry Night, Van Gogh, นิทรรศการดิจิทัลอาร์ตในกรุงปารีส

ดื่มด่ำไปกับจินตนาการของผลงานชิ้นเอกจากวินเซนต์แวนโก๊ะ

ที่ด้านในห้องโถงที่จัดนิทรรศการ จะมีเวลาบอกว่านิทรรศการกำลังจะเริ่มในอีกไม่ช้า หลังจากนั้นห้องโถงจะค่อยๆมืดลง ภาพผลงานศิลปะสไตล์ดิจิทัลก็เริ่มฉายออกมาจากโปรเจคเตอร์จำนวนนับไม่ถ้วน ภาพถูกฉายไปยังทุกพื้นผิวด้านในห้องโถง ไม่เว้นแม้กระทั่งพื้น ในขณะเดียวกันก็มีบทเพลงบรรเลงคลอตามภาพที่เคลื่อนตัวอย่างพริ้วไหว นิทรรศการนี้ต้องการเน้นย้ำถึงผลงานชิ้นเอกมากมายของแวนโก๊ะ ผู้ที่ซึ่งวาดภาพกว่า 2,000 ภาพในช่วงระยะเวลา 10 ปีสุดท้ายก่อนที่เขาจะจากไป โดยผู้จัดงานได้นำเอาผลงานชื่อดังระดับโลกของแวนโก๊ะมากมายมานำเสนอในงานนี้ ไม่ว่าจะเป็น The Starry Night (1889), The Potato Eaters (1885), Sunflowers (1888), Bedroom at Arles (1889) และอีกมากมาย

นอกจากนิทรรสการ "Van Gogh, Starry Night" ที่โชว์ใช้เวลาทั้งหมด 32 นาทีแล้ว ก็ยังมีอีก 2 นิทรรศการรอง ใช้เวลาในการโชว์นิทรรศการละ 15 นาที ได้แก่ "Dreamed Japan, Images of the Floating World" และ "Verse" by Thomas Vanz ที่จะเริ่มต้นโชว์หลังจากที่นิทรรศการแวนโก๊ะได้จบลง

  

ภาพ Bedroom, Van Gogh, ภาพวาดชื่อดังในงาน Atelier des Lumieres

จากภาพวาดกว่า 2,000 ภาพของแวนโก๊ะ ผู้จัดงานได้คัดเลือกเอาผลงานชื่อดังระดับโลกมารวมเอาไว้ในงานนี้ เพื่อนำเสนอวิวัฒนาการและฝีมือของแวนโก๊ะในช่วงหลายปีที่เขายังมีชีวิตอยู่ คุณจะเห็นได้ว่าภาพวาดแต่ละภาพนั้น เต็มไปด้วยพลังของการจรดพู่กันลงไปบนผืนผ้าและสีสันอันสดใสและชัดเจน การนำผลงานของแวนโก๊ะมาโชว์ในงานนี้แตกต่างจากการโชว์ผลงานศิลปะทั่วไป เนื่องจากทางทีมงานได้มีการปรับแต่งให้ภาพสามารถเคลื่อนไหวได้ ดั่งเช่นชื่อสถานที่จัดงาน "ดิจิทัลอาร์ตเซ็นเตอร์" โดยภาพเคลื่อนไหวเหล่านี้จะทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปภาวะอารมณ์ต่างๆของแวนโก๊ะในขณะที่วาดภาพนั้นๆออกมาในโลกแห่งความวุ่นวายและอารมณ์อันสุนทรีย์ของเขา

 

ภาพ The Sunflower, นิทรรศการแวนโก๊ะ ปารีส

แน่นอน ว่าผลงานแต่ละผลงานที่ถูกนำมาจัดแสดงนั้นมีความหมายแฝงอยู่ภายใต้กำแพงที่คุณเห็น ภายในเวลา 32 นาทีนั้น โชว์จะถูกแบ่งออกเป็น 10 ช่วงด้วยกัน บอกเล่าถึงเรื่องราวในช่วงชีวิตต่างๆของแวนโก๊ะ ไม่ว่าจะเป็นในช่วงที่เขาอาศัยอยู่ที่ Neunen, Arles, Paris, Saint-Rémy-de-Provence หรือ Auvers-sur-Oise คุณจะดื่มด่ำและตกลงไปอยู่ท่ามกลางภาพเขียนของแวนโก๊ะรอบตัวตั้งแต่เหนือศีรษะจรดปลายเท้า เดินทางไปพร้อมๆกันตั้งแต่ที่เขายังเป็นชายหนุ่ม กับภาพวาดวิวทิวทัศน์ตอนกลางวัน วิวทิวทัศน์ตอนกลางคืน ภาพวาดเหมือนตนเอง และอีกมากมาย

 

ภาพ The Potato Eaters, Van Gogh, ประสบการณ์ชมภาพแวนโก๊ะ ในกรุงปารีส

ภาพ "The Potato Eaters" (1885) ถูกฉายออกมาในช่วงที่ 3 ของโชว์ โดยภาพครอบครัวที่กำลังจะรับประทานอาหารอยู่ในบ้านนั้นได้ถูกฉายซ้ำไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่เพื่อให้ผู้เข้าชมทุกคนได้เห็นอย่างทั่วถึง ภาพวาดนี้ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับเพลงบรรเลงที่จะช่วยเน้นย้ำถึงสีสันและความมีชีวิตชีวาของภาพได้เป็นอย่างดี สำหรับใครที่ต้องการจะเป็นภาพวาดแบบเต็มๆสามารถเข้าไปดูได้ที่ห้องเล็กๆที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้องโถงได้ ในห้องนั้นจะมีภาพแบบเต็มๆฉายอยู่ พร้อมกับคำบรรยายและชื่อของพิพิธภัณฑ์ที่ภาพนี้จัดแสดงอยู่ 

 

ภาพ Blossoming Almond Tree, Van Gogh, งานนิทรรศการ Atelier des Lumieres ในกรุงปารีส

ช่วงที่ 4 ของโชว์มีชื่อว่า "Nature" โดยมีภาพวาด "Blossoming Almond Tree" (1890) เป็นภาพแสดงหลัก ซึ่งเป็นภาพที่แวนโก๊ะได้ลงมือวาดเมื่อตอนบั้นปลายชีวิตของเขา การแสดงโชว์ภาพนี้นั้นออกมาได้อย่างสวยงาม โดยได้มีการทำให้ต้นอัลมอนด์นั้นเสมือนว่ามีชีวิตอยู่จริง โดยจะทำให้ดอกอัลมอนด์นั้นค่อยๆเติบโตขึ้นพร้อมกับดอกไม้ที่เบ่งบานออกมาทีละดอก และเพื่อเป็นการสื่อถึงช่วงชีวิตบั้นปลายของแวนโก๊ะนั้น ต้นอัลมอนด์ต้นนี้ หลังจากที่ดอกไม้ได้บานเต็มที่แล้ว แน่นอนก็ถึงเวลาที่ดอกไม้จะต้องโรยราไป ฉากสีน้ำเงินมีการเปลี่ยนให้กลายเป็นสีดำ พร้อมๆกันกับที่ดอกอัลมอนด์นั้นถูกลมพัดปลิวออกไป เหลือเพียงแต่กิ่งก้านของต้นไม้เท่านั้น

 

ภาพวาด Van Gogh self-portrait, งานนิทรรศการ Atelier des Lumieres ในกรุงปารีส

ช่วงสุดท้ายของโชว์คือช่วง "Epilogue" โดยมีการปิดโชว์ด้วยภาพวาดเหมือนตัวเองของแวนโก๊ะนั่นเอง ท่ามกลางฉากหลังของภาพเหมือนได้มีการนำต้นอัลมอนด์ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง พร้อมกับดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวโรยราและปลิวออกไปในที่สุด เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ พลังงานที่เพิ่งถูกค้นพบ และผลงานศิลปะที่ไร้กาลเวลา 

 

นิทรรศการ Dreamed Japan ในกรุงปารีส, งาน Atelier des Lumieres

DREAMED JAPAN, IMAGES OF FLOATING WORLD

หลังจากโชว์อันน่าประทับใจของแวนโก๊ะจบลง โชว์ต่อไปคือ "Dreamed Japan, Images of the Floating World" ซึ่งมีการโฟกัสไปที่ศิลปะสไตล์ญี่ปุ่นและจินตนาการโดยรวม โปรเจคเตอร์เริ่มฉายภาพไปยังห้องโถงอีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็นภาพของเกอิชา นักรบซามูไร และวิญญาณต่างๆ โดยโชว์นี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพพิมพ์ของญี่ปุ่นที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในทวีปยุโรปมากขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังศตวรรษที่ 19 ที่ผ่านมา ในช่วงที่การค้าขายระหว่างประเทศญี่ปุ่นประเทศในยุโรปกำลังเริ่มก่อตัวขึ้น 

ห้องโถงใหญ่ถูกเปลี่ยนให้เป็นห้องสไตล์ญี่ปุ่น โดยมีการแบ่งพื้นที่ต่างๆโดยประตูบานเลื่อนโชจิ ประตูบานแล้วบานเล่าถูกเปิดออก ภายใต้ประตูแต่ละบานนั้นเป็นใบหน้าของเกอิชาที่สวยงามและเต็มไปด้วยเสน่ห์สไตล์ญี่ปุ่น สวมใส่ชุดกิโมโนซึ่งเป็นชุดประจำชาติของประเทศญี่ปุ่นในสีสันสดใสและดูสง่างาม  

 

คลื่นHokusai ชื่อดัง Images of Floating World, นิทรรศการศิลปะในกรุงปารีส

ลูกคลื่นขนาดใหญ่ยักษ์สไตล์โฮะคุไซ (Hokusai) ทำให้ห้องโถงทั้งหมดนั้นถูกจมอยู่ใต้น้ำท่ามกลางคลื่นลูกแล้วลูกเล่าที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่ในห้องโถง พร้อมกับบทเพลงโดย "La Mer" ที่แปลว่าทะเลโดย Claude Debussy ตัวเลือกของบทเพลงที่นำมาบรรเลงในโชว์นั้นมีความสำคัญไม่แพ้ภาพที่จะถูกนำมาฉายเลย ทีมงานได้นำเอาเสียงจังหวะกลองของญี่ปุ่นมาประกอบอยู่ในโชว์ด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้เข้าชมสามารถดำดิ่งลงไปสู่ศิลปะของญี่ปุ่นได้ล้ำลึกมากขึ้น

 

นิทรรศการ Verse, ศิลปะร่วมสมัยในงาน Atelier des Lumieres

VERSE BY THOMAS VANZ

โชว์สุดท้ายของนิทรรศการนี้คือโชว์เกี่ยวกับศิลปะร่วมสมัยที่สร้างขึ้นมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ โชว์ "Verse" นั้นเป็นโชว์เกี่ยวกับการเดินทางและการสะกดจิตที่ล่องลอยอยู่ในจักรวาล เน้นย้ำให้เห็นถึงความสวยงามของพื้นที่ที่ไม่มีที่สิ้นสุดรอบตัวเรา Thomas Vanz ต้องการที่จะให้ความสำคัญไปยังความสวยงามของเอกภพและดวงดาวในรูปแบบของโลกจักรวาลที่เราไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าความจริงแล้วนั้นเป็นอย่างไร การเคลื่อนไหวอย่างเรียบง่ายของดวงดาวนั้นเกิดขึ้นพร้อมๆกับเพลงบรรเลงจากวงออเคสตร้าอันไพเราะ

ที่สุดด้านซ้ายมือของห้องโถงนั้น มีบาร์เล็กๆตั้งอยู่ โดยมีขนมขบเคี้ยวและขนมหวาน รวมไปถึงเครื่องดื่มร้อนและเย็นไว้รอเสิร์ฟ ที่ข้างๆบาร์นั้นจะมีจอเล็กๆตั้งอยู่เพื่อบอกถึงนิทรรศการที่กำลังฉายอยู่ในขณะนั้น เมื่อโชว์ทั้งหมดได้จบลง ที่ด้านนอกใกล้ประตูทางออกจะมีร้านขายของที่ระลึกตั้งอยู่ เต็มไปด้วยของที่ระลึกเกี่ยวที่กับแวนโก๊ะ ไม่ว่าจะเป็นแก้วกาแฟ โปสเตอร์ โปสการ์ด ลูกบอลหิมะ หรือแม้กระทั่งหนังสือเกี่ยวกับประวัติของแวนโก๊ะและชีวิตของเขา

 

ภาพ Sower at Sunset, Van Gogh, ประสบการณ์รับชมดิจิทัลอาร์ตในกรุงปารีส

O'bon Paris' tip

ถ้าหากสนใจต้องการเข้าชมนิทรรศการนี้ คุณสามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ Atelier des Lumières หรือซื้อตั๋วได้เลยที่หน้างานเมื่อคุณเดินทางไปถึง อย่างไรก็ตาม Ticket Office จะปิดทำการเวลา 16:00 ในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ถ้าหากคุณจำเป็นต้องซื้อตั๋วหน้างาน แนะนำว่าให้เดินทางไปถึงก่อนช่วงเวลาที่ Ticket Office จะปิด และ Ticket Office จะไม่เปิดทำการในวันเสาร์และอาทิตย์ ถ้าหากคุณต้องการเข้าชมนิทรรศการในวันเสาร์หรืออาทิตย์ คุณจำเป็นต้องซื้อตั๋วล่วงหน้าออนไลน์เท่านั้น ทั้งนี้การซื้อตั๋วออนไลน์ยังเป็นการหลีกเลี่ยงคิวอีกด้วย ถ้าหากต้องการเข้าชมในช่วงเวลาที่คนไม่แน่นมากนัก แนะนำให้ไปช่วงเวลาประมาณ 12:00-14:00 เพื่อที่จะได้ดื่มด่ำไปกับผลงานศิลปะต่างๆได้อย่างเต็มที่

อย่าลืมดาวน์โหลดคูปองส่วนลดจาก O'bon Paris เพื่อรับทันทีส่วนลด 10% เมื่อทำการซื้อตั๋วล่วงหน้าออนไลน์ที่เว็บไซต์ Atelier des Lumières

 


เรื่อง: Aphinya Kasemsukphaisan

ภาพ: Yuna LEE

ATELIER DES LUMIERES

ที่อยู่: 38 Rue Saint Maur, 75011 Paris

การเดินทาง: เมโทรสถานี Voltaire หรือ Saint-Ambroise (สาย 9) หรือสถานี Rue Saint-Maur (สาย 3) หรือสถานี Père Lachaise (สาย 2)

นิทรรศการ: ตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 - นิทรรศการ Van Gogh, Starry Night / Dreamed Japan, Images of Floating World / Verse by Thomas Vanz

เวลาทำการ: วันจันทร์ถึงวันพฤหัส 10:00-18:00 / วันศุกร์และวันเสาร์ 10:00-22:00 / วันอาทิตย์ 10:00-19:00

ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 14.50€ / นักเรียน 11.50€ / อายุระหว่าง 5-25 ปี 9.50€ / เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีเข้าฟรี / อายุมากกว่า 65 ปี 13.50€ / ครอบครัว (ผู้ใหญ่ 2 คนและเด็กอายุระหว่าง 7-25 ปีไม่เกิน 2 คน) 42€

เว็บไซต์: www.atelier-lumieres.com





ร้านค้าที่เกี่ยวข้อง